Vientiane Day2 (Part 2) @ Laos

และแล้วก็มาถึงพระธาตุหลวงหรือชื่อเต็มเรียกว่าพระเจดีย์โลกะจุฬามณีค่ะ เนื่องจากเราปั่นจักรยานไปทางเข้าที่เราเห็นจะเป็นมุมตรงด้านหน้าที่มีพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชประดิษฐานอยู่ มองไปด้านหลังเห็นพระธาตุหลวงสีทองอร่ามงดงามมาแต่ไกลเลยค่ะ

พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช

ตรงพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชสามารถเข้าไปสักการะได้เลยค่ะ (โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรล้านช้างซึ่งเป็นผู้ย้ายราชธานีจากเมืองเชียงทองหรือหลวงพระบางมายังนครเวียงจันทน์เมื่อปี พ.ศ.2109 นั่นเองค่ะ) เมื่ออ้อมไปด้านหลังก็จะเป็นด้านหน้าทางเข้าพระธาตุหลวง โดยพระธาตุหลวงถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของลาวค่ะ ทราบว่าเป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย

ด้านหน้าทางเข้าพระธาตุหลวง
บริเวณนี้หากเราอยากเข้าไปเยี่ยมชมภายในพระธาตุหลวงต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 5,000 KIP ค่ะ ด้านในจะเห็นพระธาตุหลวงมีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านมาก ตามตำนานเล่าว่ามีพระภิกษุ 5 รูปซึ่งได้ไปศึกษาพระปริยัติธรรมยังเมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย แล้วอัญเชิญพระอุรังคธาตุมายังพระนครเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ.238

พระธาตหลวงเมื่อเข้าไปชมด้านในค่ะ
พระธาตุหลวงที่เราเห็นนี้ไม่ใช่พระธาตุหลวงองค์เดิมนะคะแต่เป็นของที่สร้างใหม่ขึ้นครอบของเดิมหลังจากที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชย้ายราชธานีมาได้  6 ปี โดยพระธาตุองค์ใหม่นี้สร้างตามแบบถาปัตยกรรมล้านช้าง ซึ่งเจดีย์จะมีลักษณะเป็นรูปดอกบัวตูม เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมเหมือนกับพระธาตุพนมของไทยเราและสร้างขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันด้วย รอบๆ พระธาตุหลวงเราจะสังเกตุเห็นว่ามีพระธาตุองค์เล็กๆ รายล้อมอยู่ อันนี้เห็นว่ามีถึง 30 องค์เลยทีเดียวค่ะ

พระธาตุหลวงในหลายมุมมอง และบริเวณโดยรอบพระธาตุ
ออกจากพระธาตุหลวงในบริเวณใกล้เคียงจะมีวิหารอยู่ 2 หลังค่ะ อยู่ทางทิศเหนือหลังหนึ่งกับอยู่ทางทิศใต้อีกหลังหนึ่ง 

วิหารหลังแรกไม่สามารถเข้าไปด้านในได้นะคะ แต่แค่ยืนมองภายนอกก็เห็นได้ถึงความวิจิตรงดงามของลวดลายนูนต่ำที่สลักอยู่ รายละเอียดตรงนี้น่าศึกษามากๆ ค่ะ(แอบได้ยินไกค์ของอีกกรุ๊ปนึงอธิบายแต่ฟังมาไม่หมดนะ ^_^ )

วิหารอีกด้านจะมีพระนอนขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ค่ะ เราไม่ได้ไปชมตรงตัววิหารด้านหน้าเพราะรีบไปยังจุดหมายต่อไป
ก่อนออกจากพระธาตุหลวงก็ต้องแวะไปชม ส่วนที่อันนี้เราไม่แน่ใจนะคะว่าจะเรียกว่าเป็นส่วนวัดพระธาตุหลวงหรือส่วนพิพิธภัณฑ์พระธาตุหลวง 


ภายในจะมีภาพจิตรกรรมแสดง มีส่วนที่เป็นศูนย์แปลพระไตรปิฏก และมีพระพุทธรูปให้สักการะอยู่ภายในด้วยค่ะ


ทิ้งท้ายก่อนออกจากพระธาตุหลวงด้วยภาพเมื่อมองจากภายในออกมาค่ะ


ทีนี้สถานีสุดท้ายสำหรับการปั่นจักรยานชมเมืองเวียงจันทน์วันนี้คือหอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาวค่ะ อยู่ไม่ไกลจากพระธาตุหลวงค่ะ ตรงด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์จะเห็นวงเวียนน้ำพุเหล็กประดับรายล้อมด้วยธงชาติและธงค้อนเคียว

น้ำพุเหล็ก ด้านหน้าหอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
การเข้าชมพิพิธภัณฑ์สามารถเข้าชมได้เลยค่ะโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่จะมีตู้รับบริจาคตั้งไว้ด้านหน้า ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่สามารถถ่ายรูปได้นะคะ ดังนั้นเราจึงมีรูปถ่ายเฉพาะภายนอก ซึ่งก็จะเป็นพวกอาวุธรวมถึงยานพาหนะต่างๆ ที่เคยใช้ในสงคราม ส่วนใหญ่จะมีธงชาติญี่ปุ่นติดอยู่ด้วย

ด้านในพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างกว้างขวางค่ะ แบ่งออกเป็น 4 ชั้น แต่เปิดเพียง 3 ชั้น ภายในยังไม่มีจัดแสดงอะไรมากนัก โดยจะเป็นเรื่องราวตั้งแต่สมัยที่ลาวยังมีการรบกันในช่วงการปฏิวัติ มีอาวุธที่เคยใช้ แล้วก็มีการจำลองถ้ำในภูเขาที่เคยใช้เป็นที่หลบซ่อนหรือฐานบัญชาการ มีประวัติศาสตร์ของประเทศลาวเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวลาวจากนักล่าอาณานิคมต่างชาติรวมถึงกองกำลังจักรวรรดินิยม มีภาพของบุคคลสำคัญของลาว นอกจากนั้นก็จะมีการจัดแสดงเครื่องแบบข้าราชการระดับชั้นต่างๆ ของลาวทั้งเครื่องแบบชายและหญิง มีเหรียญตรารวมถึงถ้วยรางวัลต่างๆ มีการสร้างรูปจำลองแบบการแต่งกายของข้าราชการด้วยค่ะ ที่สังเกตุได้ชัดคือประวัติศาสตร์ที่จัดแสดงในหอพิพิธภัณฑ์นี้ยังเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างใหม่ คือประมาณช่วงยุค 1970-1980 มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ๋จะมีเรื่องราวการจับกุมคนที่ทำผิดกฏหมายนำเข้ายาเสพย์ติดประเภทต่างๆ เข้ามาในลาวด้วยค่ะ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์จึงใช้เวลาไม่นานนับได้ว่าประเทศลาวยังเป็นประเทศที่ค่อนข้างใหม่มากๆ เลย

หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว

ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็เริ่มหิวค่ะ เดิมทีตั้งใจจะไปหาร้านกุ้งเผาตามที่เห็นในแผนที่ฉบับที่ขอมาจากโรงแรมมะลิน้ำพุ แต่เนื่องจากความงงของแผนที่และความก่งก๊งของตัวเองทำให้หลงทางอีกแล้ว(มาเวียงจันทน์ได้ 2 วัน ก็หลงทางทั้งสองวันเลยค่ะ อิอิ) ปั่นไปผิดถนนออกไปไกลพอสมควรกว่าจะรู้ตัวว่าหลงแล้ว ก็ตัดสินใจปั่นกลับทางเดิมเพื่อมาเริ่มต้นที่วงเวียนหน้าพิพิธภัณฑ์แล้วค่อยดูแผนที่ใหม่ค่ะ จากนั้นก็ได้รู้ซึ้งว่า ความสบายที่ปั่นจักรยานตอนขามากลายเป็นตรงข้ามเลยค่ะ เพราะทางมีขึ้นเนินหน่อยๆ แถมพระอาทิตย์อยู่ตรงหน้าพอดีเป๊ะเลยค่ะ แสงเข้าตาเต็มๆ แสบตามาก เวลาก็บ่ายแก่ๆ แล้ว เราทานเข้าเช้าที่โรงแรมมาแล้วยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยงเลยเพราะหาร้านอาหารในลาวยากมาก ตอนนี้เลยกำลังหิวมากเลยทีเดียวค่ะ แถมร้านกุ้งเผาที่เจอในแผนที่พอไปถึงจริงๆ ดันปิดไปแล้วค่ะ T^T ก็เลยตัดสินใจปั่นกลับโรงแรมแล้วค่อยไปหาอะไรทาน ช่วงนี้ทรมานมากเพราะแสงแยงตาตลอด จนพอปั่นผ่านเลยประตูชัยไปได้ก็ค่อยหาทางเลี้ยวเพื่อกลับไปโรงแรมค่ะ ทีนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย ก่อนกลับโรงแรมเราเอาจักรยานที่เช่ามาไปคืนก่อนเลยค่ะ เพราะนอกจากพระธาตุหลวงกับประตูชัยแล้วที่อื่นๆ ที่จะไปเที่ยวชมอยู่ใกล้ๆ กันหมดและใกล้กับโซนโรงแรมที่พักด้วยเลยคิดว่าจะใช้การเดินแทนค่ะ

กลับถึงโรงแรมอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนเลยค่ะ โชคดีที่ซื้อขนมจากไทยมาเป็นเสบียงด้วย กะว่าพักซักหน่อยแล้วจะไปดูหนังลาวค่ะ ใหนๆ ก็มาลาวแล้วขอไปดูหนังเวอร์ชั่นพากษ์ภาษาลาวซักหน่อย(มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเราฟังรู้เรื่องแน่ๆ หึหึ) เมื่อคลายเหนื่อยแล้วก็ออกเดินชิวๆ ไปห้างเวียงจันทน์เซ็นเตอร์(Vientiane Center) ค่ะ ซึ่งโรงหนังที่นี่ก็คือ MAJOR แบบที่บ้านเราค่ะ แต่ดูเหมือน HUWEI จะเป็นสปอนเซอร์หลักของเมืองนี้เลย เพราะแทบทุกมุมทุกจุดในห้างจะมีชื่อยี่ห้อนี้แปะอยู่ (รวมถึงป้ายตามเสาร์ไฟฟ้าตามข้างทางด้วยนะคะ) ไปถึงห้างก็ตรงดิ่งไปโรงหนังก่อนเลยดูโปรแกรมแล้วยังมีโปรแกรมฉายไม่มากนัก มีหนังไทยเหมือนจะเป็นหนังผีเราจำชื่อเรื่องไม่ได้ หนังจีน แล้วก็หนังฝรั่งเป็นเรื่อง Point Break ซึ่งเราก็กะว่าจะดูเรื่องนี้แหละ แต่ก็งงๆ ตรงที่แต่ละเรื่องเค้าจะมีเขียนให้เลือกว่า EN/LA, CN/LA, TH/LA ก็เลยไปถามพนักงานค่ะ ได้ความว่าหนังที่ฉายในลาวไม่มีพากษ์ภาษาลาวนะคะมีแต่ซับเท่านั้น ส่วนเสียงจะมีสามแบบเท่านั้นคือ เสียงอังกฤษ เสียงไทยหรือพากษ์ไทย และเสียงจีนหรือพากษ์จีน สรุปคือผิดหวังเล็กๆ  เหมือนในลาวจะยังไม่มีหนังเป็นของตัวเองรึเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ ส่วนหนังที่นำเข้ามาถ้าไม่พากษ์ไทยก็จะพากษ์จีน คนลาวจึงสามารถพูดและฟังได้ทั้งภาษาไทยและภาษาจีนค่ะ เราก็เลยตัดสินใจไม่ดูค่ะ เพราะที่อยากดูคืออยากดูหนังที่พูดภาษาลาวมากกว่า

เมื่อผิดหวังจากหนังแล้วก็เลยตัดสินใจจะไปหาอะไรกินแถวริมโขงค่ะซึ่งก็คิดว่าคงทานร้านเดิมเพราะเป็นร้านแบบที่เราคิดว่าใกล้เคียงกับอาหารท้องถิ่นที่อยากทานที่สุดแล้ว อีกอย่างจะได้เดินเล่นริมโขงยามเย็นด้วย ก่อนจะถึงริมโขงเราก็เดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งค่ะประดับประดาไฟสวยงามมาก อยู่แถวบริเวณที่เรียกว่าดอนจันค่ะ


ตรงนี้ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งที่เค้าจะสร้างให้เป็นทั้งศูนย์การค้า โรงแรม และที่อยู่อาศัยสุดหรู เรียกได้ว่าเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดในนครหลวงเวียงจันทร์ในขณะนี้ค่ะเรียกว่าโครงการ เวียงจันทน์นิวเวิลด์(Vientiane New World) หรือชื่อในภาษาลาวว่า โลกใหม่แห่งเวียงจันทน์


อันนี้เราไม่แน่ใจนะคะว่าเค้าสร้างเสร็จรึยังเพราะตอนที่เราไปเป็นช่วงกลางคืนหลายอาคารเหมือนยังปิดอยู่ เดินเลยจากจุดนี้ไปอีกนิดก็ถึงบริเวณอนุเสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์แล้วค่ะ เก็บภาพยามค่ำคืนนิดหน่อยแล้วก็รีบเดินเลยไปยังร้านอาหารเป้าหมายเลย(ตอนนี้ความหิวมากมายกลับมาอีกแล้วค่ะ)

อนุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ยามค่ำคืน

อาหารเย็นวันนี้ก็เบาๆ ค่ะ สั่งกุ้งเผาจานเล็กมาหนึ่งจาน ปลาเผา ข้าวเหนียว แล้วก็ส้มตำใส่ขนมจีนค่ะ อ้อที่ลาวมีเมนูตำเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยนะคะ เค้าเขียนชื่อภาษาลาวว่า"ตำหมี่" ตอนแรกเรานึกว่าหมายถึงตำซั่วแถวอีสาน พอถามคนขายเค้าบอกว่าไม่ใช่ค่ะเป็นส้มตำที่ใส่เส้นหมี่หรือเส้นก๋วยเตี๋ยว เราไม่ได้ลองขอเอาแบบที่คุ้นเคยดีกว่าเลยถามว่าเปลี่ยนเป็นเส้นขนมจีนแทนได้มั้ย เค้าก็เข้าใจค่ะ :)

อาหารเย็นของการใช้ชีวิตในเวียงจันทน์วันที่ 2 ค่ะ
ภาพถ่ายอาหารเว้าๆ แหว่งๆ หน่อยนะเพราะถ่ายไปกินไป บางอันหมดแล้วค่อยนึกได้ว่าต้องถ่ายรูปประกอบซักหน่อยค่ะ อาหารวันนี้รสชาติแตกต่างกับเมื่อวานเลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราสั่งคนละเมนู คนทำคนละคน หรือเพราะความหิวโหยของวันนี้กันแน่ แต่บอกเลยว่าอร่อยมากค่ะ กุ้งเผากินได้ทั้งเปลือก เนื้อกุ้งจะมันๆ ส่วนเปลือกก็เค็มปะแล่มๆ ปลาเผาเนื้อมันนุ่ม ส่วนส้มตำวันนี้รสชาติแซ่บถึงใจค่ะ แทบอยากจะสั่งจานที่สองถ้าไม่กลัวว่าพรุ่งนี้จะท้องเสียตอนนั่งรถกลับอ่ะนะ

ภายถ่ายด้านหน้าร้านตอนกลางวัน และบรรยากาศภายในร้านช่วงกลางคืนค่ะ
สรุปค่าอาหารเย็นวันนี้ทั้งหมด 135,000 KIP ค่ะ ราคาไม่ต่างจากวันแรกมากนัก ส่วนปริมาณและคุณภาพวันนี้ให้ 4.5 ดาวเลยค่ะ ทานอาหารเย็นเสร็จก็ไปเดินย่อยอาหารเล็กน้อยที่ตลาดมืดค่ะ ช่วงเย็นๆ เป็นอะไรที่คนเยอะมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นค่ะ แถมคนไทยก็เยอะค่ะเพราะเดินไปใหนจะได้ยินเสียงคุยกันเป็นภาษาไทยตลอด

บรรยากาศเปิดท้ายตลาดมืดริมโขงค่ะ
เดินดูนิดหน่อยพอซึมซับบรรยากาศค่ะ แล้วก็คิดว่าคงจะซื้อน้ำขนมเล็กๆ กลับไปไว้เป็นเสบียงเผื่อหิวรอบดึกที่โรงแรม ก็เลยไปเจอร้านขายพิซซ่าในตลาดค่ะ เลยลองซักหน่อยแล้วกันเนอะ ราคาพิซซ่า 29,000 KIP ค่ะ ขนาดก็ประมาณพิซซ่าขนาดกลาง

ร้านพิซซ่าในตลาดมืด
จากนั้นก็ไปซื้อน้ำที่ร้านสะดวกซื้อแถวถนนริมโขงก่อนกลับโรงแรมค่ะ ค่าน้ำเปล่ากับเป๊บซี่วันนี้ถูกกว่าร้านที่ซื้อวันแรกพันกีบรวมกับค่าเป๊บซี่ขวดใหญ่แล้วทั้งหมด 15,000 KIP ค่ะ กลับถึงโรงแรมก็ปิดท้ายวันที่สองในเวียงจันทน์ด้วยพิซซ่าก่อนนอน ปั่นจักรยานชมเมืองวันนี้เหนื่อยกว่าที่คิด หลับเป็นตายค่ะคืนนี้