Vientiane Day2 (Part 1) @ Laos

เริ่มต้นวันที่ 2 ในลาวด้วยอาหารเช้าของโรมแรมค่ะ ห้องอาหารของโรมแรมค่อนข้างเล็กตอนที่เราลงไปคนไม่ค่อยเยอะอาจเป็นเพราะสายแล้วด้วย อาหารของที่นี่(Douang Deuane Hotel) เป็นแบบบุฟเฟ่ค่ะ มีอาหารให้เลือกพอสมควร พวกข้าวผัด ใส้กรอก เบคอน ไข่ดาว ขนมปัง เครื่องดื่มก็มี ชา กาแฟ โกโก้ น้ำส้ม แล้วก็น้ำเปล่าค่ะ มีเครื่องปิ้งขนมปังแล้วก็กระติกน้ำร้อนให้บริการตัวเอง ตอนเช้าก็แค่ไปรับคูปองทานอาหารที่เคาท์เตอร์โรงแรมแล้วก็เข้าไปยื่นคูปองที่ห้องอาหาร รสชาติอาหารก็น่ารักดีค่ะเบาๆ ช่วงที่เราไปสายแล้วแต่ยังรู้สึกง่วงอยู่ก็เลยทานเท่าที่เห็นค่ะ

ภายในห้องอาหาร และประตูทางเข้าค่ะ อยู่ด้านข้างติดเคาท์เตอร์โรงแรมเลย

อาหารเช้าวันนี้เบาๆ สังเกตว่าเครื่องปรุงต่างๆ นี่มาจากไทยทั้งนั้นเลยค่ะ รู้สึกไม่เหมือนอยู่ต่างประเทศเลย ฮ่า ๆๆ

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ แดดยังไม่ร้อนมากก็ไปเดินเล่นริมโขงและกะว่าจะเดินหาโรงแรมสำหรับพักคืนต่อไปด้วย ก่อนจะถึงริมโขงเดินตรงมุมทางเลี้ยวเข้าซอยโรงแรมเราจะเป็นศาลเจ้าค่ะ อ่านชื่อไม่ออกเพราะไม่มีภาษาอังกฤษหรือลาวเลย ลืมเล่าที่ลาวเนี่ยป้ายต่างๆ ไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาลาว จีน แล้วที่ใกล้เคียงภาษาอังกฤษหน่อยเราเดาว่าคงเป็นภาษาฝรั่งเศส ดังนั้นเวลาไปใหนเราต้องอ่านภาษาลาวแทนจะใกล้เคียงกับอักษรไทยทำให้พอเดาคำที่เค้าเขียนได้ค่ะ


เดินเล่นไป เวียงจันทน์ก็จะคล้ายๆ ไทยในต่างจังหวัดเลยค่ะ วัดก็เยอะมากสังเกตุจากแทบจะทุกซอยที่ลองเดินเข้าไปจะเจอวัดอยู่ตลอด

ตัวอย่างวัดที่พบเห็นได้ทั่วไปในเวียงจันทน์
สถานที่ราชการต่างๆ หรือบริษัทห้างร้านใหญ่ๆ ของเค้าก็จะมีธงประดับอยู่คล้ายๆ กับสถานที่ราชการในบ้านเราค่ะ แต่จะเป็นธงชาติประดับคู่กับธงค้อนเคียว มีแทบทุกที่เลยค่ะ


และเรื่องเงินไม่จำเป็นต้องแลกเงินมาเยอะก็ได้นะคะ เพราะธนาคารหรือเคาท์เตอร์รับแลกเงินที่นี่มีเยอะมาก แถวโรงแรมที่พัก แถวน้ำพุ แถวริมโขง หรือใน Morning Market ก็มีที่ให้แลกเยอะมากค่ะ รวมถึงตู้ ATM ที่สามารถกดเงินได้(แต่ต้องศึกษาเรื่องค่าธรรมเนียมการกดเงินข้ามประเทศมาดีๆ นะคะ) และที่สำคัญร้านค้าหลายๆ ที่นี่รับเงินไทยด้วยค่ะ แต่เงินทอนจะได้เป็นเงินกีบนะ

ลานกว้างแถวริมโขง
ที่เวียงจันทน์ที่ริมแม่น้ำโขงจะมีถนนเลียบริมโขงยาวไปตามแนวแม่น้ำค่ะ และถัดเข้ามาก็จะมีลานกว้างมากหลายแห่ง ซึ่งก็เป็นที่ที่คนมาออกกำลังกายในตอนเช้า มาเดินเล่นในยามเย็น รวมถึงเป็นที่ตั้งของตลาดนัดในยามค่ำคืนด้วยค่ะ (อยากให้ที่ไทยเป็นแบบนี้บ้าง) ถัดเข้ามาอีกทีถึงจะเป็นถนนอีกเส้นและมีร้านค้าหรือโรงแรม ตรงลานริมโขงนี่เองค่ะที่เราได้พบการทำอาชีพแปลกๆ ของคนที่นี่ คือจะมีคนปั่นจักรยานพร้อมเก้าอี้ตัวเล็กๆ หนึ่งตัวกับอุปกรณ์ที่เรามองไม่ออกว่าเป็นอะไร(อันที่จริงพอเริ่มสังเกตก็จะพบว่ามีคนปั่นจักรยามแบบนี้อยู่ทั่วเมืองเลยค่ะ) เท่าที่เห็นมีแต่ผู้หญฺิงค่ะ ตอนแรกเราก็นึกว่าคงเป็นคนขายขนมปังหรืออาหารเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวซื้อให้นกพิราบเหมือนในไทย แต่ปรากฏว่าพอเค้าปั่นจักรยานเข้ามาใกล้ๆ เราเค้าก็พูดมาหลายภาษาเลยค่ะ (เหมือนเค้าไม่แน่ใจว่าเราเป็นคนชาติใหน) จนมาเข้าใจตอนที่เค้าพูดภาษาลาวว่า "ทำเล็บมั้ย ทำเล็บสวยๆ นะ สีสวยๆ" ก็เลยถึงบางอ้อว่า เป็นอาชีพคนรับทำเล็บ เก้าอี้ที่เค้าหิ้วมาด้วยก็คงเอาไว้ให้เรานั่งทำเล็บนั่นเอง >_<" และนี่ก็เป็นอาชีพแรกในลาวค่ะที่เค้าตื้อเรา คือถามหลายทีถึงแม้เราจะปฏิเสธแล้วก็ตาม เพราะปรกติอย่างรถรับจ้างที่เราเรียกว่า ตุ๊ก ตุ๊ก หรือ รถสามล้อในต่างจังหวัดบ้านเรา ส่วนใหญ่เวลาเค้าเห็นเราเดินผ่านเค้าก็ก็จะเรียกลูกค้าด้วยการส่งเสียงว่า "ตุ๊ก ตุ๊ก" และถ้าเราปฏิเสธเค้าก็จะไม่ตื้อหรือเข้ามาถามอะไรอีกค่ะ ซึ่งตรงนี้เราว่าเป็นความน่ารักของรถตุ๊กตุ๊กที่นี่เลยทีเดียว 

ตรงริมโขงไม่มีอะไรมากค่ะ ช่วงที่เราไปน้ำโขงแห้งมากจนหญ้าขึ้นสูงมากมองแทบไม่เห็นน้ำเลย เลยจากตรงนั้นไปก็เป็นฝั่งไทยแล้ว เดินเลียบริมโขงไปถัดจากลานกว้างภาพข้างบนแล้วจะเป็นอนุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ของลาวค่ะ สร้างติดแม่น้ำโขงหันหน้ามาทางฝั่งไทยค่ะ

อนุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ถ่ายตอนกลางวัน กลางคืน และภาพจากด้านหลังค่ะ


น้ำพุพระยานาคอยู่ด้านหลังของอนุเสาวรีย์ค่ะ ตอนกลางวันไม่มีอะไรแต่ตอนกลางคืนจะเปิดน้ำพุและมีไฟแสงสีสวยมากค่ะ
หลังจากเดินเล่นริมโขงเสร็จเราก็จะไปย้ายของจากโรงแรมเดิมไปโรงแรมใหม่ค่ะ ซึ่งโรงแรมที่เราจะไปพักเป็นคืนที่สองเป็นโรงแรมที่คนไทยไปพักกันค่อนข้างเยอะและมีคนเขียนรีวิวถึงเยอะมาก ซึ่งเราหาไม่เจอว่าอยู่ตรงใหนในวันแรกที่มาถึงค่ะเลยจะลองไปพักวันนี้แทน นั่นก็คือ โรงแรมมะลิน้ำพุนั่นเองค่ะแผนการของวันนี้คือเราจะย้ายของไปที่โรงแรมแล้วจากนั้นจะเช่าจักรยานไปปั่นชมสถานที่ต่างๆ ในเวียงจันทน์ค่ะ 

การไปโรงแรมมะลิน้ำพุนั้นที่จริงไม่ยากเลยค่ะ เพราะโรงแรมอยู่ในซอยด้านหลังน้ำพุเลย ซึ่งน้ำพุอันนี้ตอนกลางวันก็จะปิดค่ะ จะเปิดน้ำในตอนกลางคืน ภาพที่เราถ่ายมาเป็นด้านหลังเนื่องจากด้านหน้ามีอุปกรณ์สำหรับนักดนตรีอยู่ และส่วนด้านหน้าก็กลายเป็นโซนโต๊ะนั่งสำหรับทานอาหาร ซึ่งจะมีร้านขายอาหารอยู่รอบๆ ค่ะ เราไม่ได้ลองทานที่นี่เพราะส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารเวียดนาม อาหารญี่ปุ่น และอาหารฝรั่ง แล้วก็ที่ขาดไม่ได้ก็มีเบียร์ค่ะ

น้ำพุ

และโรงแรมมะลิน้ำพุก็เช่นเดียวกับโรงแรมอื่นๆ ที่เราไปถามค่ะ คือเหลือห้องที่ราคาเรทต่ำสุด สำหรับที่นี่เหลือแต่ห้องราคา 320,000 KIP ค่ะ คิดเป็นเงินไทยก็พันกว่าบาทนิดๆ การหาห้องพักที่ลาวนี่มีข้อดีอยู่อย่างค่ะ คือเราสามารถขอดูห้องได้แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะพักหรือเปล่าทีหลัง สำหรับห้องที่เราได้ในวันนี้จะอยู่ชั้น 2 ค่ะ ห้องค่อนข้างเล็กมากสำหรับราคาเท่านี้ และห้องน้ำก็ไม่มีอ่างอาบน้ำด้วยค่ะ ข้อดีคือข้าวของในห้องยังใหม่อยู่ในสภาพดี จัดห้องได้น่ารักและห้องสะอาดดี และราคาที่ว่ามานี้รวมอาหารเช้าและ wifi free แล้ว(wifi ที่ว่านี้ช้ายิ่งกว่าโรงแรมดวงเดือนที่เราพักคืนแรกอีกค่ะ ที่โรงแรมดวงเดือนอย่างน้อยยังโหลดหน้าเวบได้ ดาวโหลดภาพเล็กๆ ได้ ดูยูทูบความละเอียดต่ำๆ ได้บ้าง แต่ wifi ของที่นี่ทำอย่างที่กล่าวมาไม่ได้เลย โหลดหน้าเวบก็ไม่ไปใหนเลย สรุปมีก็เลยเหมือนไม่มีค่ะ) แต่สำหรับเราถือว่าแพงนะเมื่อเทียบราคากับห้องที่คุณภาพระดับเดียวกันที่เราเคยไปพักที่ประเทศอื่นเช่นเวียดนาม ซึ่งห้องใหญ่กว่าห้องน้ำกว้างกว่าในขณะที่อุปกรณ์ในห้องต่างๆ มีไม่แตกต่างกัน (ยกเว้นแต่ที่เวียดนามไม่มีอาหารเช้าและไม่มี wifi) ราคาประมาณ 10USD เท่านั้น

สภาพภายในห้องของโรงแรมมะลิน้ำพุ เราถ่ายไม่ค่อยสวยแต่จริงๆ มุมหน้าต่างจัดได้น่ารักดีค่ะ
ตรงส่วนกลางของโรงแรมจะเป็นสวนเล็กๆ ค่ะ ใช้เป็นที่ทานอาหารเช้าด้วย(เดี๋ยววันต่อไปเราค่อยมาดูกันว่าอาหารเช้าของโรงแรมนี้จะเป็นยังไง)

บรรยากาศภายในโรงแรม ตอนเช้านั่งทานอาหารในบรรยากาศธรรมชาติเบาๆ นี่ฟินไม่น้อยเลยค่ะ
หลังจากเก็บของเสร็จก็ออกไปเช่าจักรยานค่ะ ร้านก็อยู่แถวโรงแรม ราคา 20,000 KIP ต่อวันค่ะ(ประมาณ 80THB) เค้าไม่นับเป็นชั่วโมงนะคะจะนับเป็นวัน เราจะเช่าเวลาใหนของวันก็ตามก็ต้องเอามาคืนภายใน 18.00 น. ของวันนั้นค่ะ อีกอย่างปั่นจักรยานในลาวห้ามปั่นซ้อนกันนะคะหนึ่งคนหนึ่งคันเท่านั้น(แล้วไม่รู้จะทำจักรยานมีที่ซ้อนทำใมเหมือนกันนะ หุหุ) อีกอย่างคือถนนในลาวส่วนใหญ่เป็น One-way นะคะ ดังนั้นต้องวางแผนการเดินทางดีๆ ว่าจะปั่นไปใหนมาก่อนมาหลังไม่งั้นต้องอ้อมไกลมากๆ หรือไม่ก็ทำหน้ามึนเล็กน้อยปั่นบนฟุตบาทค่ะ เพราะฟุตบาทลาวกว้างพอจะปั่นได้ถ้าไม่มีรถจอดนะ เพราะทีนี่รถยนต์บางทีก็ขับขึ้นมาจอดบนฟุตบาทเฉยเลย (ตอนแรกเราก็ไม่กล้าปั่นบนฟุตบาทนะแต่พอเห็นฝรั่งทำเท่านั้นแหละ เรานี่ตามเลย ฮ่าๆ อันนี้ต้องใช้วิจารณญาณนะคะเพราะเราไม่รู้ว่าปั่นแบบนี้ถูกกฏจราจรรึเปล่า แต่ถนนรถวิ่งน่ากลัวจริงๆ ค่ะ) ข้อดีคือปลอดภัยเพราะรถบนถนนนี่เยอะมากวิ่งเร็วและไม่ค่อยมีทีท่าจะหยุดแม้แต่ให้คนข้ามถนนเลย ไฟที่ให้สำหรับคนข้ามถนนก็แทบจะไม่เขียวเลยค่ะ เราเคยรอจนไฟให้คนข้ามเป็นสีเขียวแต่พอข้ามไปได้ครึ่งถนนดันเปลี่ยนเป็นแดงซะงั้น เร็วมากวิ่งข้ามแทบไม่ทันเลยค่ะ มีอยู่ครั้งนึงที่เรารอข้ามถนนไม่ได้ซักทีจนมีคุณยายคนนึงเดินมาจับแขนเราแล้วบอกว่า รถเค้าจะไม่หยุดให้คนข้ามเราต้องแทรกตัวเข้าไปถึงจะได้ข้าม (คือแทรกเข้าไปมันก็น่ากลัวอ่าค่ะเกิดรถไม่หยุดจะทำยังไง T^T)

หลังจากได้พาหนะคู่กายแล้วเราก็เริ่มต้นท่องเวียงจันทน์กันเลยค่ะ ปั่นไปปั่นมาก็มาเจอเจดีย์ จริงๆ เค้าเรียกพระธาตุดำ Black Stupa (That Dam) ตั้งอยู่กลางเมืองเลยค่ะ

พระธาตุดำ Black Stupa (That Dam)
 พระธาตุนี้มีตำนานด้วยนะคะ เล่าว่ามีพระนาคเจ็ดเศียรอาศัยอยู่เพื่อปกป้องลาวจากการโจมตีของไทย (O_O) คือจริงๆ เห็นว่าพระธาตุนี้เคยหุ้มด้วยทองคำมาก่อนนะไม่ได้เป็นสีดำแบบนี้มาแต่แรก แต่ตอนนี้ทองหายไปใหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ด้านหลังพระธาตุดำในรูปจะมีโรงแรมตั้งอยู่ใกล้ๆ ด้วย ตอนที่เราไปถึงพระธาตุแดดเริ่มร้อนแล้วเลยอยู่ไม่นานเท่าใหร่ ต้องรีบปั่นไปเป้าหมายต่อไปค่ะ

นั่นก็คือประตูชัยหรือประตูไซ (Patuxai) ที่เป็นแลนมาร์คที่พลาดไม่ได้หากใครมาเวียงจันทน์ไม่มาถ่ายรูปกับประตูชัยนี่เหมือนมาไม่ถึงนะ อิอิ

ประตูไซ (Patuxai)

ประตูชัยเป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวที่เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ค่ะ ในการสร้างนั้นได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมมาจากฝรั่งเศสค่ะแต่ลวดลายที่อยู่ตามซุ้มประตูก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ความเป็นลาวได้อย่างดี

ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัย
สำหรับประตูชัยนี้เราจะสามารถขึ้นไปด้านบนได้ด้วยนะคะ ถ้าต้องการขึ้นไปชมวิวด้านบนต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ 3,000 KIP ค่ะ จะมีบันใดวนขึ้นไประหว่างทางก่อนจะถึงด้านบนแต่ละชั้นจะมีของที่ระลึกวางขายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกชมหรือเลือกซื้อ ข้อดีคือเราสามารถเดินดูได้อย่างอิสระเสรีเลยค่ะเพราะจะไม่มีคนขายมายืนกดดันเรา จนกว่าเราจะตัดสินใจซื้อหรืออยากถามราคาเราก็ค่อยเดินไปหาคนขายเอง แบบนี้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยค่ะ

ร้านขายของที่ระลึกบนประตูชัย

ของที่ระลึกที่วางขายอยู่ก็จะเป็นพวกภาพวาดภาพพิมพ์ พระเครื่อง เงินและธนบัตรเก่า หรือของแกะสลักแบบต่างๆ มีผ้าถุงผ้าซิ่นแบบต่างๆ รวมถึงย่าม กระเป๋า คล้ายๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยวในไทยค่ะ ที่ต่างคือเค้าจะมีภาพบุคคลสำคัญต่างๆ  รวมถึงมีธงชาติ และธงค้อนเคียวด้วยนะ (>_<") พอผ่านด่านร้านขายของที่ระลึกขึ้นไปถึงชั้นบน เราจะเห็นซุ้มหรือป้องประตูอยู่มุมทั้งสี่ด้านของประตูชัย 

ด้านบนประตูชัย

 และด้านบนสามารถมองลงมาเห็นวิวรอบๆ ประตูชัยได้สวยงามมากค่ะ

ทัศนียภาพเมื่อมองจากด้านบนของประตูชัย (ด้านหน้า ด้านหลัง และสองข้างของประตูชัย)
ก่อนจากประตูชัยไปยังจุดหมายต่อไป ฝากรูปด้านล่างประตูชัยไว้นิดค่ะ



ออกจากประตูชัยปั่นจักรยานต่อไปตามทางเรื่อยๆ คราวนี้ค่อนข้างใกลพอสมควรค่ะ ถนนในเวียงจีนทร์ค่อนข้างราบเรียบมีทางลาดขึ้นลงเนินบ้างแต่ไม่มาก ปั่นจักรยานสบายๆ ค่ะ ประตูชัยเหมือนจะสร้างขึ้นตามแนวตะวันออกตะวันตกนะเพราะขาไปพระอาทิตย์ขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้วเลยปั่นสบายๆ ไม่ร้อนไม่แสบตา ทางส่วนใหญ่ก็จะลาดลงนิดๆ เลยปล่อยสบายๆ ให้จักรยานใหลไปตามทางได้ แต่ตอนขาปั่นกลับนี่เดี๋ยวรู้เรื่องเลยค่ะ